ประวัติความเป็นมาตำบลควนโดน
ตำบลควนโดน จัดตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอควนโดน ระยะห่างจากอำเภอควนโดน ประมาณ ๘๐๐ เมตร และอยู่ห่างจากตัวจังหวัด ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ประกอบด้วย ๙ หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านควนโดน บ้านสะพานเคียน บ้านถ้ำทะลุ บ้านควนโต๊ะเหลง บ้านดูสน บ้านหัวสะพานเหล็ก บ้าน บูเก็ตยามู บ้านปลักใหญ่ใจดี บ้านนาปริกและบ้านบาราเกต อยู่ในเขตเทศบาลตำบลควนโดน จำนวน ๒ หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านควนโดนและบ้านดูสน ประชาชนนับถือศาสนาอิสลาม ยกเว้นบ้านปลักใหญ่ใจดีนับถือศาสนาพุทธ
“ควนโดน” ได้นำคำสองคำ คือ “ควน” หมายถึง เนินหรือที่สูง อยู่ที่บริเวณโรงเรียนบ้านควนโดนและโรงเรียนควนโดนวิทยาในปัจจุบัน และคำว่า “โดน” เป็นชื่อของต้นกระโดน เป็นไม้ยืนต้นและมีดอกสีชมพู ชาวบ้านนิยมนำดอกมารับประทานแทนผัก ซึ่งขึ้นอยู่บนเนินบริเวณดังกล่าวจำนวนมาก ชาวบ้านจึงตั้งชื่อท้องถิ่นนี้ว่า “ควนโดน” เดิมชื่อ ตำบลดูสน (ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านอยู่ทางทิศเหนือของควนโดน) หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้เปลี่ยนมาเป็นตำบลควนโดน มีนายพันอาด มาลินี เป็นกำนันคนแรก ส่วนประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านที่รวมกันเป็นตำบลนั้นมีพอสังเขป ดังนี้
หมู่ที่ ๑ บ้านควนโดน
หมู่บ้านนี้ตั้งมาประมาณ ๑๕๐ ปี เดิมเป็นหมู่ที่ ๖ ตำบลดูสน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลังสงครามโลก ทางราชการได้รวมตำบลดูสนกับตำบลปันจอร์ เป็นตำบลควนโดน
หมู่ที่ ๒ บ้านสะพานเคียน
ชื่อหมู่บ้าน ชาวบ้านได้เรียกจากการสร้างสะพานชั่วคราวข้ามคลองดูสน เมื่อประมาณ ๗๐ กว่าปีมาแล้ว โดยสร้างด้วยไม้ตะเคียนทอง ไม้ตะเคียนทองนี้เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ได้หลงเหลืออยู่ในป่าช้าและยังคงมีเหลืออีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งอนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังไว้ดู
หมู่ที่ ๓ บ้านถ้ำทะลุ
จากคำบอกเล่าต่อๆกันมาว่า ชื่อหมู่บ้านนี้ได้นำเอาชื่อถ้ำทะลุ ซึ่งอยู่ในเขาผึ้ง ซึ่งกั้นเป็นเขตอำเภอควนโดน กับอำเภอควนกาหลง มีคลองบาราเกตไหลผ่านหน้าถ้ำประมาณ ๕ เมตร ถ้ำมีความกว้าง 8 เมตร ยาวประมาณ ๓๐ เมตร สุดถ้ำเป็นเงามืดจะเห็นแสงสว่างจากภายนอกทางรูถ้ำทะลุกว้างประมาณจุลำแขน ถ้ำแห่งนี้ทางราชการได้จัดเตรียมเป็นถ้ำอพยพของศาลากลางจังหวัดสตูล เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ไม่ได้มาพัก เพราะไทยได้ประกาศร่วมรบกับญี่ปุ่นเสียก่อน
หมู่ที่ ๔ บ้านควนโต๊ะเหลง
มีตำนานเล่าว่า มีเสือแก่ๆ ตัวหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้าน ชาวบ้านกลัวเสือจะทำร้ายจึงระดมคนไล่เสือออกจากพื้นที่ เสือวิ่งหนีจนหมดกำลัง จึงพักสงบนิ่งที่เนินเขาแห่งหนึ่งหลบชาวบ้านที่ไล่แต่ไม่สามารถหลบได้ ชาวบ้านจึงตะโกนบอกพรรคพวกว่า “ยังยืนเหล็งอยู่นี่” “เหล็ง” หมายถึง ยืนนิ่ง เสือหนีออกจากพื้นที่ คนรุ่นหลังตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “ควนโต๊ะเหลง” หมายถึง ควนเสือหยุดพัก
หมู่ที่ ๕ บ้านดูสน
อดีตบ้านดูสน มีชนเชื้อมาเลย์มาตั้งถิ่นฐานในแถบนี้เป็นจำนวนมากหลายครอบครัวโดยมีอาชีพหลักในทางเกษตรกรรมพืชสวนผลไม้ และพืชพันธุ์ชนิดอื่นๆ ในการติดต่อสื่อสารจะใช้ภาษามลายูเป็นภาษาพูดติดต่อกันและเรียกชื่อหมู่บ้านที่ตนอาศัยให้สอดคล้องกับลักษณะอาชีพ ว่า “กำปงดูสน” คำว่า กำปง แปลว่า หมู่บ้าน ดูสน แปลว่า สวน
ต่อมาได้มีครอบครัวของคนไทยย้ายเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านนี้เพิ่มขึ้น จนถึงทุกวันนี้ก็ได้เรียกหมู่บ้านนี้ว่า บ้านดูสน โดยเปลี่ยนคำว่า กำปง เป็นคำว่า บ้าน คงให้เป็นความเดิมไว้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า บ้านดูสน เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
หมู่ที่ ๖ บ้านหัวสะพานเหล็ก
เดิมหมู่บ้านนี้ชาวบ้านเรียกว่าบ้านหัวทาง แต่เปลี่ยนมาเป็นสะพานเหล็ก เนื่องจากประมาณ ๙๐ ปีก่อน
ทางราชการได้สร้างถนนยนตรการกำธร และได้ทำสะพานเหล็กข้ามฟากคลองดูสน ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านหัวสะพานเหล็ก”
หมู่ที่ ๗ บ้านบูเก็ตยามู
สมัยที่จังหวัดสตูลขึ้นต่อประเทศมาเลเซีย มีการส่งส่วยและได้เดินทางผ่านหมู่บ้านนี้ มีกองทัพช้างที่ส่งส่วยเดินทางผ่าน เมื่อถึงภูเขาลูกหนึ่งได้หยุดพักรับประทานอาหารว่างร่วมกัน ต่อมาจึงตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า บูเก็ตยามู บูเก็ต แปลว่า ภูเขา ยามู แปลว่า งานเลี้ยง
หมู่ที่ ๘ บ้านควนรี (ปลักใหญ่ใจดี)
จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน เดิมเรียกชื่อว่า “ควนนารี” เพี้ยนมาจากชื่อเดิมว่า ควนชะนี เมื่อประมาณ ๓ ชั่วอายุคน เล่าว่ามีชะนีหลายตัวอาศัยอยู่บริเวณควนแห่งนี้ ควนลูกนี้มีเนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่และมีอาณาเขตติดต่อป่าใหญ่และภูเขา ตอนหลังเพี้ยนมาจากชะนี เป็นนารี ชาวบ้านเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านควนนารี” ตอนหลังทางราชการจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน เป็นบ้านปลักใหญ่ใจดี ตามชื่อหนองน้ำในหมู่บ้านและชื่อสกุลของผู้ตั้ง
หมู่ที่ ๙ บ้านนาปริก
เป็นหมู่บ้านตั้งใหม่ แยกจากหมู่ที่ ๗ บ้านบูเก็ตยามู บ้านนาปริก เรียกชื่อตามชื่อทุ่งนาในหมู่บ้าน
หมู่ที่ ๑๐ คลองบาราเกต
เป็นหมู่บ้านตั้งใหม่ แยกจากหมู่ที่ ๔ บ้านควนโต๊ะเหลง |